ทุกวันนี้การสมัครงานกับบริษัทต่างๆ ต้องรู้จักการโปรโมทตัวเองเพื่อให้บริษัทสนใจคุณ เพราะยิ่งคุณอยากร่วมงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ คู่แข่งก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการเขียนใบสมัครงาน หรือที่เรียกกันว่า "เรซูเม่ (Resume)" ให้น่าสนใจนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแสดงให้บริษัทเห็นความสามารถของคุณ จนอยากจะหยิบเรซูเม่ของคุณขึ้นมาพิจารณาเป็นคนแรก ๆ

การเขียนเรซูเม่ (Resume) มีทั้งเรซูเม่ภาษาอังกฤษและเรซูเม่ภาษาไทย ซึ่งทั้งสองแบบมีความสำคัญต่างกันอย่างแน่นอน เพราะหลาย ๆ บริษัท ต้องการผู้สมัครที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานได้ เมื่อต้องร่วมงานกับชาวต่างชาติ ดังนั้นการที่คุณทำเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ ก็จะทำให้คุณมีโอกาสในการได้งานมากขึ้น โดยเฉพาะนักศึกษาที่จบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานที่มากพอ ซึ่งการเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นมาก วันนี้ WorkVenture มีคำตอบมาให้ว่าต้องเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษอย่างไร เพื่อให้โดนใจ HR! ซึ่งอยากชวนคนที่กำลังหาวิธีทำ Resume ภาษาอังกฤษออกมาให้เป๊ะปัง มาทำตามคำแนะนำดู โดยเริ่มจาก

1. การจัดวางข้อมูลในเรซูเม่ 

การจัดวางตำแหน่งของข้อมูลในเรซูเม่ของคุณเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าข้อมูลไม่น่าสนใจมากพออาจจะทำให้ HR ไม่อยากอ่านจนจบ ดังนั้นการที่คุณจัดสรรข้อมูล และลำดับความสำคัญข้อมูลให้ดีจะทำให้เรซูเม่ของคุณน่าอ่านมากขึ้น ซึ่งเราอยากแนะนำให้คุณจัดเรียงข้อมูลในแต่ละส่วนให้มีระยะห่างแบบพอดี

• ขึ้นต้นด้วยการระบุช่องทางการติดต่อ (Contact) ให้ชัดเจน

• ประสบการณ์ในการทำงาน (Work Experience) โดยเรียงจากอดีตมาถึงปัจจุบัน

• ข้อมูลการศึกษา (Education) ในระดับมหาวิทยาลัย หรือมีโอกาสได้ไปต่างประเทศ

• ทักษะต่าง ๆ ที่คุณมี เช่น ทักษะทางภาษาหรือทักษะคอมพิวเตอร์

2. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Profile)

ข้อมูลส่วนตัวเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะต่อให้คุณทำเรซูเม่ออกมาได้น่าสนใจแค่ไหนแต่ขาดข้อมูลตรงนี้ก็จะทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำงานอย่างแน่นอน ซึ่งการเขียนข้อมูลส่วนตัวเริ่มด้วยชื่อ - นามสกุล (ไซส์ใหญ่กว่าปกตินิดหน่อย) ไม่จำเป็นจะต้องใส่ชื่อเล่น และวางชื่อตัวเองไว้ตรงกลาง ด้านซ้ายหรือขวาบนสุดของ Resume มุมหนึ่งตามความชอบของคุณ (บริษัทต่างชาติบางที่ไม่นิยมให้ผู้สมัครใส่รูปภาพ เพื่อป้องกันการ bias แต่บริษัทส่วนใหญ่ ที่ไทยหรือประเทศแถบเอเชียมักจะอยากได้เรซูเม่ที่ใส่รูป ซึ่งเรซูเม่ที่ใส่รูปมีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์มากกว่า โดยเฉพาะบริษัทที่ดูโหงวเฮ้ง)

3. ประสบการณ์ในการทำงาน (Work Experience)

สำหรับประสบการณ์ในการทำงานหรือฝึกงานของคุณที่เคยทำมา ก็สามารถนำมาระบุใน resume ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในที่จะทำให้คุณได้งาน เพราะข้อมูลส่วนนี้สามารถบอกได้ว่าคุณได้มีประสบการณ์อะไรมาบ้าง และเหมาะจะทำงานในตำแหน่งที่คุณสมัครมาไหม นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงแนวคิดและทักษะต่าง ๆ ที่คุณใช้ในการแก้ปัญหาอีกด้วย  หากอยากทำให้เรซูเม่ของคุณดึงความสนใจของ HR ควรจะเรียงประสบการณ์ในการทำงานจากใหม่ไปเก่า สำหรับ “Accomplishments” ควรเขียนคำอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับอะไรสำคัญ ๆ ที่คุณทำสำเร็จและจะดีมาก

4. การศึกษา (Education)

ในส่วนของการศึกษานี้ก็เหมือนกับประสบการณ์ในการทำงานเลย คุณควรจะเรียงลำดับประวัติการศึกษาจากปัจจุบันไปหาอดีต ซึ่งคุณควรระบุวุฒิปริญญาจากมหาวิทยาลัยขึ้นไป โปรแกรมแลกเปลี่ยน และผลงานสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษาอื่น ๆ แต่ว่าการศึกษาระดับมัธยมปลาย หรือการเข้าฟังสัมมนานั้นไม่จำเป็นต้องใส่ แต่ถ้าหากคุณคิดว่าการใส่การศึกษาระดับมัธยมปลายจะช่วยคุณในการได้งานนี้ อย่างเช่นได้ไปศึกษามัธยมปลายในต่างประเทศ ก็สามารถใส่ได้ และสิ่งที่คุณควรจะใส่ในส่วนของประวัติการศึกษา

5. ทักษะ (Skills)

การเขียนทักษะ คุณสามารถทำได้โดยเขียนให้ดูเกี่ยวข้องกับงานมากที่สุด เช่น บริษัทต้องการคนที่มีความสามารด้านการตัดต่อ คุณก็ควรจะระบุทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ให้เจาะจงและชัดเจน อย่างเช่น ถ้าคุณใส่ Computer Skills คุณก็ควรจะระบุโปรแกรมที่คุณใช้ได้และถนัดอย่าง Photoshop หรือ Premiere Pro ลงไปด้วย

เราอยากแนะนำให้คุณ ระวังเรื่องการสะกดผิด เพราะมันให้เห็นแสดงถึงความใส่ใจ มีคำกล่าวว่า “How you do anything is how you do everything.” คุณทำสิ่งหนึ่งออกมาเป็นอย่างไร คุณก็จะทำทุก ๆ อย่างออกมาเป็นอย่างนั้น ซึ่งใครที่กำลังทำเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงาน หรือยื่นฝึกงาน คุณควรใส่ใจกับทุกรายละเอียด เพื่อไม่ให้มีการผิดพลาด และอย่าลืมว่า HR แต่ละคนต้องอ่าน Resume ไม่รู้กี่ใบต่อวัน จนปวดหัวตาลายไปหมดก่อนที่จะถึงคิว Resume ของคุณ ซึ่งเรซูเม่ที่ดีที่สุดคือ Resume ที่ใช้เวลาในการทำและก็มีการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณสามารถนำคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้ได้เพื่อทำเรซูเม่ของคุณให้น่าสนใจมากขึ้น และเรามั่นใจว่าเรซูเม่ Resume ของคุณจะต้องถูกหยิบขึ้นมาอ่านอย่างแน่นอน